วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การจำแนกปากใบพืช


การจำแนกปากใบพืชตามการเจริญเติบโตในสิ่งเเวดล้อมมี3ประเภท

1.ปากใบแบบธรรมดา (typical stomata) เป็นปากใบของพืชทั่วไปโดยมีเซลล์คุมอยู่ในระดับเดียวกับเซลล์เอพิเดอร์มิสพืชที่ปากใบเป็นแบบนี้เป็นพวกเจริญอยู่ในที่ ๆ มีน้ำอุดมสมบูรณ์พอสมควร (mesophyte) 



2.ปากใบแบบจม (sunken stomata) เป็นปากใบที่อยู่ลึกเข้าไปในเนื้อใบเซลล์คุมอยู่ลึกกว่าหรือต่ำกว่าชั้นเซลล์เอพิเดอร์มิสพบในพืชที่อยู่ในที่แห้งแล้ง (xerophyte) เช่น พืชทะเลทราย พวกกระบองเพชร พืชป่าชายเลน (halophyte) เช่น โกงกาง แสม ลำพู เป็นต้น




3.ปากใบแบบยกสูง (raised stomata) เป็นปากใบที่มีเซลล์คุมอยู่สูงกว่าระดับเอพิเดอร์มิสทั่วไป เพื่อช่วยให้น้ำระเหยออกจากปากใบได้เร็วขึ้นพบได้ในพืชที่เจริญอยู่ในน้ำที่ที่มีน้ำมากหรือชื้นแฉะ(hydrophyte)

ปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำ

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการคายน้ำของพืช

    อัตราการคายน้ำของพืชจะเกิดมากหรือน้อยนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับการปิดเปิดของปากใบแล้ว ยังขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น
            1. รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์ เมื่อใบได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอัตราการคายน้ำจะเพิ่มขึ้นทุก 10 องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอัตราการคายน้ำจะเพิ่มขึ้นสองเท่า เพราะเมื่ออุณหภูมิใบสูงขึ้น ไอน้ำในใบและไอน้ำในบรรยากาศมีความแตกต่างกันมากขึ้น การคายน้ำก็จะเพิ่มมากตามไปด้วย ในพืชทั่ว ๆไปเมื่ออุณหภูมิเกิน 30 องศาเซลเซียสปากใบจะปิด
            2. ความชื้นในอากาศ ถ้าหากในบรรยากาศมีความชื้นน้อย เช่น หน้าแล้งหรือตอนกลางวัน ทำให้การคายน้ำเกิดได้มากและรวดเร็ว
            3. ลม ลมที่พัดผ่านใบไม้จะทำให้ความกดอากาศที่บริเวณผิวใบลดลง ไอน้ำบริเวณปากใบจะแพร่ออกสู่อากาศได้มากขึ้น และขณะที่ลมเคลื่อนผ่านผิวใบจะนำความชื้นไปกับอากาศด้วย ไอน้ำจากปากใบก็จะแพร่ได้มากขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าลมพัดแรงเกินไปปากใบจะปิด
            4. ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทั่วไปปากใบเปิดเมื่อปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ภายในช่องว่างของใบลดลงกว่าจุดวิกฤต แต่เมื่อใบขาดความชื้นปากใบจะปิดไม่ว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นเช่นใด หมายความว่าพืชทนต่อการขาดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นานกว่าการขาดน้ำ
        นอกจากนี้พืชบางชนิดยังมีการปรับโครงสร้างให้มีประสิทธิภาพในการดูดน้ำโดยมีรากแผ่ขยายเป็นบริเวณกว้าง หรือมีรากยาวหยั่งลึกลงไปในดิน เช่น หญ้าแฝก พืชบางชนิดลำต้นและใบอวบน้ำ (Succunlent) เพื่อสะสมนํ้า เช่น ต้นกุหลาบหิน การปิดเปิดของปากใบจะแตกต่างจากพืชชนิดอื่น คือปากใบจะเปิดเวลากลางคืนและปิดในตอนกลางวันเพื่อลดการคายน้ำวามร้อนของดวงอาทิตย์ เมื่อใบได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นอัตราการคายน้ำจะเพิ่มขึ้นทุก 10 องศาเซลเซียส ที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอัตราการคายน้ำจะเพิ่มขึ้นสองเท่า เพราะเมื่ออุณหภูมิใบสูงขึ้น ไอน้ำในใบและไอน้ำในบรรยากาศมีความแตกต่างกันมากขึ้น การคายน้ำก็จะเพิ่มมากตามไปด้วย ในพืชทั่ว ๆไปเมื่ออุณหภูมิเกิน 30 องศาเซลเซียสปากใบจะปิด
           

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

การปิดเปิดของปากใบ

การปิด เปิดของปากใบ
      การปิดเปิดของปากใบขึ้นกับเซลล์คุมที่อยู่ข้าง ๆ ปากใบ ซึ่งมีผนังด้านที่ติดกับปากใบหนากว่าด้านอื่น ๆ เมื่อมีแสงสว่าง โพแทสเซียมไอออนในเซลล์คุมเพิ่มขึ้น จึงมีความเข้มข้นของสารละลายมากขึ้น น้ำจากเซลล์ที่อยู่ติด ๆ กันจึงออสโมซิส เข้าสู่เซลล์คุม ทำให้เซลล์คุมเต่งมากขึ้น พร้อม ๆ กับมีแรงดันเต่งไปดันผนังเซลล์ด้านบางให้โป่งออกไปพร้อม ๆ กับดึงผนังเซลล์ด้านหนาให้โค้งตาม เกิดช่องว่างทำให้ปากใบเปิดยิ่งเซลล์คุมมีแรงดันเต่งมาก ปากใบยิ่งเปิดกว้าง การปิดเปิดของปากใบขึ้นอยู่กับแสงสว่างและปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายประการ 

ปัจจัยที่มีผลต่อการปิด-ปากใบ


       1. แสงสว่าง เนื่องจากเซลล์คุมมี คลอโรพลาสต์ ทำให้เกิดการสังเคราะห์ด้วยแสง ปริมาณน้ำตาลในเซลล์คุมเพิ่มความเข้มข้นของไซโทพลาซึมเพิ่ม น้ำจากเซลล์ข้างเคียงจึงเกิดการออสโมซิสเข้ามา ทำให้เซลล์คุมเต่ง ปากใบจึงเปิด สำหรับเวลากลางคืนหรือเวลาไม่มีแสงไม่มีการสังเคราะห์ด้วยแสง น้ำตาลในเซลล์คุมถูกส่งออกไปนอกเซลล์คุมแล้ว หรือถ้ามีอยู่ในเซลล์คุมบางส่วนจะเปลี่ยนเป็นแป้งซึ่งไม่ละลายน้ำความเข้มข้นของเซลล์คุมลดลง น้ำจึงออสโมซิสออกสู่เซลล์ข้างเคียง แรงดันเต่งของเซลล์คุมลดลง ปากใบจึงปิด

     2. ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ พบว่าปากใบจะปิดเมื่อปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น เช่น ในอากาศปกติมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์

300 ส่วนในล้านส่วน ปากใบจะเปิด แต่ถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มเป็น1000 ส่วนในล้านส่วน ปากใบจะปิด อาจอธิบายการปิดปากใบตอนกลางคืนได้ว่าเนื่องจากปริมาณการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการหายใจของเซลล์ในใบมาก

     3. อุณหภูมิที่เหมาะสม อุณหภูมิไม่ต่ำและไม่สูงจนเกินไป(25- 30 องศาเซลเซียส) ทำให้ปากใบเปิด ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ปากใบจะปิดแคบลง และ

ถ้าอุณหภูมิต่ำมาก ๆ ปากใบก็จะปิดด้วย

     4. ปริมาณน้ำภายในใบ หากใบคายน้ำออกมาก เช่น ในเวลาบ่ายทำให้เซลล์ในใบขาดน้ำ แรงดันเต่งในเซลล์ของใบลดลงทำให้ปากใบปิด  

     5. ฮอร์โมนบางชนิด ฮอร์โมนบางชนิดของพืชช่วยให้ปากใบปิดได้เช่น กรดแอบไซซิก (Abscisic acid) ซึ่งพบว่ามีมากในใบแก่ หรือในใบที่ขาดแคลนน้ำจึงทำให้การคายน้ำลดลงพืชทะเลทรายประเภทกระบองเพชร ปากใบจะอยู่บริเวณลำต้น พืชบกหลายชนิดมีเลนทิเซล (Lenticel) ซึ่งมีลักษณะคล้ายรอยแตกของลำต้นมีกระจายอยู่ทั่วไปอากาศจะผ่านเข้าออกทางเลนทิเซลได้เช่นเดียวกับไอน้ำ

     6.ความกดดันของบรรยากาศ ในที่ที่มีความกดดันของบรรยากาศต่ำ อากาศจะบางลงและความแน่นน้อย เป็นโอกาสให้ไอน้ำแพร่ออกไปจากใบได้ง่าย อัตราของการคายน้ำก็สูง แต่ถ้าความดันของบรรยากาศสูง ใบก็จะคายน้ำได้น้อยลง





การคายน้ำของพืช





  


การคายน้ำของพืช เป็นการแพร่ของน้ำออกจากใบของพืชโดยผ่านทางปากใบ โดยทั่วไปปากใบปิดเวลากลางคืนและเปิดในเวลากลางวัน การคายน้ำมีความสำคัญต่อพืชในด้านการควบคุมการเคลื่อนที่ของน้ำในพืช ทำให้น้ำเคลื่อนที่จากด้านล่างขึ้นไปด้านบนมากขึ้นเรื่อยๆ ควบคุมการดูดซึมธาตุอาหารของพืช เพราะธาตุอาหารที่พืชนำไปใช้ได้ต้องอยู่ในรูปที่ละลายน้ำ ทำให้อุณหภูมิของใบลดลง โดยลดความร้อนที่เกิดจากแสงแดดที่ใบ ในกรณีที่ในอากาศอิ่มตัวด้วยน้ำ มีความชื้นสูง การคายน้ำเกิดขึ้นได้น้อย แต่การดูดน้ำของรากยังเป็นปกติ พืชจะเสียน้ำในรูปของหยดน้ำเรียกว่ากัตเตชัน (guttation)พืชไม่สามารถคายน้ำในสภาพที่แดดจัดเพราะอาจเสียน้ำมากเกินไปและเหี่ยวก่อนที่รากจะลำเลียงน้ำได้ทัน